ขับเคลื่อนโดย Blogger.
RSS

รวมพืชสมุนไพร ไล่ยุง สารป้องกันยุง หลากหลายชนิด

สวัสดีค่ะวันนี้ เอาพืชสมุนไพรไล่ยุง มาฝากกันค่ะ ที่บ้านใครยุงเยอะ ลองหามาปลูกดูนะค่ะ แต่ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักับ สารป้องกันยุง ที่ใช้ทาผิวหนัง กันก่อนนะค่ะ



สารป้องกันยุงใช้ ทาผิวหนัง เนื่องจากมีกลิ่นที่ยุงไม่ชอบ ทำให้ยุงบินหนีไปไม่เข้ามาใกล้ (มีคุณสมบัติเป็น repellent) จึงช่วยป้องกันมิให้ยุงกัด สารนั้นอาจเป็นพิษหรือไม่เป็นพิษต่อยุงก็ได้ สารป้องกันยุงแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
สารที่สกัดได้จากพืช เช่น น้ำมันตะไคร้หอม น้ำมันจากต้นน้ำมันเขียว (ยูคาลิปตัส) เป็นต้น
สารที่สังเคราะห์ ขึ้นมา เช่น N,N-diethyl-m-toluamide และ 2-ethyl-1,3-hexanediol และ 1,1-carbonylbis (hexahydro-1H-azepine) เป็นต้น



สารป้องกันยุง ที่ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้
1. ไม่เป็นอันตรายหรือทำความระคายเคืองต่อผิวหนังและอวัยวะอื่น ๆของร่างกาย
2. ป้องกันยุงกัดได้เป็นเวลานานพอควร
3. สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานโดยที่คุณสมบัติไม่เปลี่ยนแปลง
4. ไม่มีสี ไม่เปรอะเปื้อนเสื้อผ้า
5. ไม่มีกลิ่นเหม็นรุนแรง (สำหรับคน)
6. ใช้ง่ายและสะดวก
7. ไม่เหนียวเหนอะหนะ ชำระล้างออกได้ง่าย
8. ราคาไม่แพง

รวมพืชสมุนไพรไล่ยุง


มะกรูด ชื่อวิทยาศาสตร์ Citrus hystri
ลักษณะ มะกรูดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ใบหนาและมีรอยคอดตรงกลาง ดอกสีขาว ผิวของผลมะกรูดขรุขระเป็นปุ่มปมทั้งลูก น้ำในลูกมีรส เปรี้ยว มีหนามแหลมยาวตามลำต้นและกิ่ง
ส่วนที่ใช้ ผล
วิธีใช้ นำผิวของผลมะกรูดสดมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำมาโขลกผสมกับน้ำโดยใช้อัตราส่วน 1 ต่อ 1 แล้วกรองเอาแต่ส่วนที่เป็นน้ำมาใช้


ไพลเหลือง ชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber cassumunar
ลักษณะ ไพลเหลืองเป็นพืชหัว หัวเป็นแง่งโตติดกันเป็นพืด ใบเล็กยาว ปลายแหลม
ส่วนที่ใช้ หัว
วิธีใช้ นำหัวไพลเหลืองสดมาโขลกผสมกับน้ำในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 แล้วกรองเอาแต่ ส่วนที่เป็นน้ำมาทาผิวหนัง แต่มีข้อเสียคือทำให้ผิวหนังติดสีเหลืองล้างออกยาก

สะระแหน่ ชื่อวิทยาศาสตร์ Mentha arversis
ลักษณะ สะระแหน่เป็นพืชเลี้อยตามพื้นดิน ลำต้นสีแดงเข้ม ใบกลมขนาด หัวแม่มือ ใบค่อนข้างหนา ริมใบหยักโดยรอบและมีกลิ่นหอม
ส่วนที่ใช้ ใบ
วิธีใช้ ขยี้ใบสะระแหน่สดทาถูที่ผิวหนังโดยตรง


กระเทียม ชื่อวิทยาศาสตร์ Allium sativum
ลักษณะ กระเทียมเป็นพืชหัว ประกอบด้วยกลีบเล็กๆ เกาะกัน โดยมีเยื่อ บางๆ สีขาวหุ้มหัวไว้เป็นชั้นๆ ใบยาว แข็งและหนา ดอกเป็นช่อ เล็กๆ สีขาวรวมกันเป็นกระจุกอยู่ที่ปลายก้านดอก
ส่วนที่ใช้ หัว
วิธีใช้ นำหัวกระเทียมสดมาโขลกผสมกับน้ำในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 แล้ว กรองเอาแต่ส่วนที่เป็นน้ำมาทาผิวหนัง หรือจะใช้หัวกระเทียมสด ทาถูที่ผิวหนังโดยตรงก็ได้


กะเพรา ชื่อวิทยาศาสตร์ Ocimum sanotum
ลักษณะ กะเพราเป็นไม้พุ่มเตี้ย ลำต้นและใบมีขนปกคลุม ปลายใบแหลม ที่ นิยมปลูกตามบ้านมี 2 ชนิด คือ กะเพราขาว ใบสีเขียว และ กะเพราแดง ใบมีสีออกแดงเลือดหม ู
ส่วนที่ใช้ ใบ
วิธีใช้ ขยี้ใบสดหลายๆ ใบวางไว้ใกล้ตัว กลิ่นน้ำมันกะเพราที่ระเหยออก มาจากใบจะช่วยไล่ยุงไม่ให้เข้ามาใกล้ หรือจะขยี้ใบสดแล้วทาถูที่ ผิวหนังโดยตรงก็ได้ แต่กลิ่นน้ำมันกะเพรานี้ระเหยหมดไปค่อน ข้างเร็วจึงควรหมั่นเปลี่ยนบ่อยครั้ง


ว่านน้ำ ชื่อวิทยาศาสตร์ Acorus calamus
ลักษณะ ว่านน้ำเป็นพืชที่ขึ้นอยู่ตามริมหนองน้ำหรือบริเวณที่ชื้นแฉะ เหง้า เป็นเส้นกลมหนา สีขาวออกม่วง เจริญงอกงามตามยาวขนานกับ ผิวดิน รากเล็กเป็นฝอย ใบแตกจากเหง้า ลักษณะเป็นเส้นตรง ปลายใบแหลม ผิวใบเรียบ เห็นเส้นกลางใบชัดเจน ช่อดอกทรง กระบอกสีเหลืองออกเขียว
ส่วนที่ใช้ เหง้า
วิธีใช้ หั่นเหง้าสดเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำมาโขลกผสมกับน้ำในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 กรองเอาแต่ส่วนที่เป็นน้ำมาใช้ทาผิวหนัง


แมงลัก ชื่อวิทยาศาสตร์ Ocimum citratum
ลักษณะ แมงลักเป็นพืชล้มลุก สูงประมาณ 60-70 เซนติเมตร ดอกสีขาว เป็นช่ออยู่ปลายกิ่ง
ส่วนที่ใช้ ใบ
วิธีใช้ ขยี้ใบสดทาถูที่ผิวหนัง



ตะไคร้หอม ชื่อวิทยาศาสตร์ Cymbopogon nardus
ลักษณะ ตะไคร้หอมขึ้นเป็นกอ ลักษณะคล้ายตะไคร้บ้านแต่ใบยาวกว่าและ ลำต้นมีสีแดง ดอกเป็นพวงช่อฝอย
ส่วนที่ใช้ ต้นและใบ
วิธีใช้ นำต้นและใบสดมาโขลกผสมกับน้ำ ใช้อัตราส่วน 1 ต่อ 1 แล้ว กรองเอาแต่ส่วนที่เป็นน้ำมาใช้ทาผิวหนัง หรือนำต้นสด 4-5 ต้นมา ทุบแล้ววางไว้ใกล้ตัว กลิ่นน้ำมันตะไคร้หอมที่ระเหยออกมาจะช่วย ไล่ยุงไม่ให้เข้ามาใกล



ต้นยูคาลิปตัส ชื่อวิทยาศาสตร์ Eucalyptus citriodara
ลักษณะ ยูคาลิปตัสเป็นไม้ยืนต้นสูง ใบยาวรี ค่อนข้างหนา
ส่วนที่ใช้ ใบ
วิธีใช้ ขยี้ใบสดทาถูที่ผิวหนัง



ต้นไม้กันยุง (มอสซี่ บัสเตอร์)
ต้นไม้กันยุงเป็นพันธุ์ไม้ที่ได้รับการพัฒนาโดยวิธีการทางพันธุ์วิศวกรรม ระหว่างพันธุ์ไม้ 2 ตระกูล คือ อาฟริกัน เจอราเนียม (African Geranium) และตะไคร้หอม (Citronella) ต้นไม้กันยุงจึงมีลักษณะคล้ายต้นเจอราเนียม แต่จะมีกลิ่นหอมอ่อนๆของต้นตะไคร้หอม เนื่องจากน้ำมันตะไคร้หอมมีคุณสมบัติในการไล่ยุง (เป็น repellent) ต้นไม้กันยุงนี้จึงสามารถไล่ยุงได้เช่นกัน แต่ประสิทธิภาพจะขึ้นอยู่กับขนาดของต้นไม้และพื้นที่ที่ใช้งาน เช่นต้นไม้กันยุง อายุประมาณ 2 เดือน จะมีความสูงจากผิวดินประมาณ 6 นิ้ว กลิ่นน้ำมันที่ระเหยออกมาจากต้นไม้จะสามารถไล่ยุงได้ในพื้นที่ประมาณ 100 ตารางฟุต เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในต้นไม้กันยุงจะมีสารอยู่สองชนิด คือ สารที่มีคุณสมบัติเป็นสารดึงดูดยุง (attractant) และสารไล่ยุง (repellent) ต้นไม้กันยุงที่ยังเล็กจะมีสารดึงดูดยุงมากกว่าสารไล่ยุง ต่อเมื่อโตขึ้นสารดึงดูดยุงจะค่อยๆลดปริมาณลง จนสารไล่ยุงสามารถแสดงคุณสมบัติได้เต็มที่
ลักษณะ เป็นไม้พุ่ม ใบแตกออกจากทั้งตายอดและตาข้าง ขอบใบหยัก
ส่วนที่ใช้ ใช้ทั้งต้น โดยจะปลูกเป็นไม้ประดับ ในขณะเดียวกันก็จะช่วยไล่ยุง ไม่ให้เข้ามาใกล ้
วิธีใช้ วางกระถางที่ปลูกต้นไม้กันยุงไว้ในห้อง สามารถไล่ยุงได้ตลอด 24 ชั่วโมง แต่ต้นไม้ก็ต้องการแสงแดดเพื่อการสังเคราะห์แสง จึง ควรนำต้นไม้ไปรับแสงแดดอย่างน้อยวันละ 4 ชั่วโมงและรดน้ำให้ ชุ่มในเวลาเช้า หากแสงแดดไม่จัด ควรให้น้ำพอสมควรเพื่อ ป้องกันมิให้รากเน่า

ที่มา: http://www.sapaan.net/forum/health-community/acaxaeao1aaaaeaoaadeoaein1ao/

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กลูตาไธโอนคืออะไร

     กลูตาไธโอน (อังกฤษ: glutathione) เป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับระบบประสาท ระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ปกติแพทย์จะใช้ในปริมาณเพียง 200 มิลลิกรัมต่อครั้ง มีกลุ่มคลินิกเสริมความงาม เป็นสารอ้างว่าใช้ผสมกับวิตามินซี ฉีดทำดีท็อกซ์ผิวขาว[2]

     กลูตาไธโอน เป็น tripeptides ของกรดอะมิโน 3 ตัว คือ ซิสทีน (cysteine), กรดกลูตามิค (glutamic acid) และไกลซีน (glycine) ซึ่งร่างกายสามารถผลิตได้เองตามธรรมชาติ และมีในอาหาร เช่น นม ไข่ ผลอะโวคาโด สตรอเบอร์รี มะเขือเทศ ผักบรอคโคลี ส้มเกรปฟรุต และผักโขม [3]

     กลูตาไธโอนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจึงช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย ช่วยให้ตับขจัดสารพิษออกจากร่างกาย และยังนำมารักษาโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ข้ออักเสบ โรคพาร์กินสัน โรคตับ โรคไต โรคเอดส์ ภาวะเป็นหมันในเพศชาย และภาวะหูตึงจากเสียงดัง ผลข้างเคียงทำให้ผิวขาว

Glutathione กลูต้า (กลูต้าไธโอน) เป็นสารประเภท Tripeptide ที่ประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ Cysteine, Glycine และ Glutamic acid หน้าที่หลักของสารตัวนี่ที่เด่นมีอยู่ 3 ประการ คือ

1. Detoxification : กลูต้าไทโอนช่วยสร้างเอ็นไซม์ชนิดต่าง ๆ ในร่างกายโดยเฉพาะ Glutathion-S-transferase ที่ช่วยในการกำจัดพิษออกจากร่างกายโดยไปเปลี่ยนสารพิษชนิดไม่ละลายในน้ำ (ละลายในน้ำมัน) เช่น พวกโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง แม้แต่ยาบางชนิด ให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ดีขึ้นและง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันตับ1 จากการถูกทำลายโดย แอลกอฮอล์ (สุรา) สารพิษจากบุหรี่ ยาพาราเซตามอลเกินขนาด (Overdose) ฯลฯ

2. Antioxidant : กลูต้าไทโอนมีคุณสมบัติเป็นสารต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น (Antioxidant) ที่มีความสำคัญตัวหนึ่งในร่างกาย และหากขาดไป วิตามินซีและอี อาจจะทำงานได้ไม่เต็มที่

3. Immune Enhancer : ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย2 โดยกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์หลายชนิดเพื่อให้ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอม รวมถึงเชื้อแบคทีเรียและไวรัส นอกจากนี้กลูตาไทโอน ยังช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA สร้างโปรตีนและ protaglandin



     ในคนสุขภาพแข็งแรงตามปกติสามารถผลิต Glutathione ได้เองเพียงพออยู่แล้ว  จากโปรตีนที่มีกรดอะมิโน Glutamate, Glycine, และ Cysteine โดยมีตับเป็นที่หลักในการผลิต แต่ในภาวะเครียดหรือร่างกายอ่อนแอ จะพบว่าระดับ Glutathione ลดลง  หาก Glutathione ในร่างกายมีน้อยมากๆอาจทำให้เสียชีวิตได้  เช่น ในผู้ติดเชื้อ HIV ที่แสดงอาการ หรือคนไข้ที่กินยาพาราเซตามอลเกินขนาด  เป็นต้น

      Glutathione มีบทบาทสำคัญในการทำงานของ  melanocyte  ซึ่งเป็นเซลล์ผลิตเม็ดสี โดยควบคุมไปในทางที่ทำให้ผิวดูสดใส ไม่หมองคล้ำ  และดูขาวขึ้น  ( ยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในสร้างเม็ดสีชนิด eumelanin ที่มีสีดำหรือน้ำตาล )  ดังนั้นหากสามารถทำให้ระดับ Glutathione ในเซลล์เพิ่มขึ้นได้  ก็น่าจะทำให้ผิวดูดีสดใสขึ้นด้วยเช่นกัน

      จากคุณสมบัติดังกล่าว  ดูแล้วน่าจะทำ  Glutathione เพื่อเป็นอาหารเสริมเพื่อให้ผิวขาวใสขึ้นได้  แต่ Glutathione ไม่สามารถดูดซึมผ่านทางเดินอาหารได้ดีพอ

      อาหารเสริมที่สามารถเพิ่ม Glutathione ในเซลล์ได้จริงคือ  N – acetyl cysteine ( NAC ) ซึ่งจะถูกดูดซึมผ่านทางเดินอาหารได้ดีกว่า  แล้วจึงค่อยเปลี่ยนเป็น Glutathione ในเซลล์อีกที  นิยมกินในหมู่นักเพาะกายเพื่อช่วยเสริมสร้างพลังงานและมวลกล้ามเนื้อ มากกว่า  แต่ก็ยังไม่มีข้อพิสูจน์ใดๆที่แสดงว่ากินอาหารเสริมดังกล่าวแล้วทำให้ผิวขาว ใสขึ้นเช่นกัน  หรืออาหารเสริมง่ายๆ เช่น vitamin C 500 – 1,500 mg ทุกวันเป็นเวลา 1 เดือน ก็สามารถเพิ่มระดับ Glutathione ได้กว่า 50% เช่นกัน

      ทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่ม Glutathione ให้กับร่างกายโดยไม่ต้องการพึ่งอาหารเสริมหรือยาใดๆ คือเลือกทานอาหารที่ช่วยให้ร่างกายสร้าง Glutathione ได้มากขึ้น เช่น  หน่อไม้ฝรั่ง, บล็อกโคลี่, อโวคาโด, ผักขม ( เหมือนในการ์ตูน  pop eye กินผักขมแล้วกล้ามขึ้นมีพลัง ) ,โปรตีนหางนม ( whey protein ) , ขมิ้นชัน  เป็นต้น  และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้  Glutathione ในร่างกายต่ำลง เช่น การสูบบุหรี่ , ดื่ม alcohol มาก, พักผ่อนน้อย,  เครียด,  ตากแดดมาก, ออกกำลังกายหักโหม  ซึ่งจะทำให้  Glutathione ในร่างกายถูกใช้ต่อต้านอนุมูลอิสระมาก จน Glutathione ในเหลือน้อยลงนั่นเอง 

ที่มา: http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%98%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%99

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

กินวิตามินอย่างไรให้ถูกวิธี

     วิตามินกินอย่างไร วิตามินที่ร่างกายได้รับส่วนใหญ่มาจากอาหารที่เรากินเข้าไปค่ะ และส่วนหนึ่งร่างกายสังเคราะห์ขึ้นเอง วิตามินที่ดีจึงต้องสกัดจากอาหาร ถึงอย่างไร เราก็ไม่กินวิตามินแทนอาหารนะคะ และวิตามินไม่ใช่ยา แต่เป็นสารสกัดจากสิ่งมีชีวิต (Organic) ที่จำเป็นสำหรับร่างกาย มีหน้าที่ช่วยให้การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ถูกต้อง และช่วยให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้ เพราะถ้าขาดวิตามินแล้วร่างกายจะหยุดทำงานค่ะ 
     ในที่นี้จะขอเล่าถึงวิตามินบางตัวที่ มีความสำคัญต่อภูมิชีวิต (Immune System) เรา ซึ่งที่น่ารู้จักก็คือ วิตามินในกลุ่มแอนติออกซิแดนท์ ได้แก่ A, C, D และ E และกลุ่มวิตามิน B ชนิดต่างๆ



วิตามิน A: พบในน้ำมันตับปลา ผักสีต่างๆ เช่น แครอท ผักโขม และหัวบีทรู้ท
ประโยชน์                                                                                      

* ช่วยบำรุงสายตา และแก้โรคตามัวตอนกลางคืน                                      
* ช่วยให้กระดูก ผม ฟัน และเหงือกแข็งแรง                                            
* สร้างความต้านทานให้แก่ระบบหายใจ                                                  
* ช่วยสร้างภูมิชีวิตให้ดีขึ้น และทำให้หายป่วยเร็วขึ้น                                   
* ช่วยในเรื่องของผิวพรรณ ลดอาการอักเสบของสิว ช่วยลบจุดด่างดำ และจุดวัยสูงอายุ                                                                                            
* ช่วยบรรเทาโรคเกี่ยวกับไทรอยด์
ปริมาณที่แนะนำ
* ผู้ชายควรกินอาหารที่มีวิตามิน A 1,000 R.E. หรือเท่ากับ 5,000 I.U. ต่อวัน
* ผู้หญิงควรกินอาหารให้ได้วิตามิน A 800 R.E. หรือ 4,000 I.U. ต่อวัน        
* หากกำลังตั้งครรภ์ควรกินเพิ่มเป็น 1,000 R.E. หรือ 5,000 I.U. ต่อวัน        
* สำหรับการกินวิตามิน A เป็นอาหารเสริมควรกินวันละ 10,000 I.U.

 วิตามิน C
ประโยชน์
* เป็นตัวสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นตัวเส้นใยทำหน้าที่เชื่อมเนื้อเยื่อต่างๆ ไว้ด้วยกัน ทั้งยังเป็นตัวสร้างกระดูก ฟัน เหงือก และเส้นเลือด                                     
* ช่วยแผลสดและแผลไฟไหม้หายเร็วขึ้น                                                
* ช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างเม็ดเลือดทางอ้อม               
* ช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ (MUTATION)                             
* ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคนอนหลับตาย (SIDS) ในกรณีเด็กอ่อน                 
* ช่วยแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน                                                         
* ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด                                                          
* ช่วยคลายเครียด
ปริมาณที่แนะนำ
ในรายที่ขาดวิตามิน C ควรกิน เสริม วันละ 1,000 mg 

วิตามิน D: พบมากในเนย นม เนยแข็ง และในแดด ดังนั้น เราจึงควรตากแดดวันละ 2-3 ชั่วโมง
ประโยชน์
* ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ช่วยในการย่อยอาหาร เพิ่มพลังงาน และช่วยรักษาสิว ทั้งนี้หากกินร่วมกับวิตามิน B6 ในขนาดสูงๆ จะช่วยรักษาข้ออักสบ และโรคเรื้อนกวาง (สะเก็ดเงิน) ได้
ปริมาณที่แนะนำ
ควรกินวิตามิน D เสริม วันละ 1,000 I.U

วิตามิน E
ประโยชน์
* หน้าที่สำคัญที่สุดของวิตามิน E เป็นตัวแอนติออกซิแดนท์ คือทำให้เกิดการเผาผลาญ (OXIDATION) โดยมีตัวออกซิเจนเป็นตัวการสำคัญ ทำให้ร่างกายเผาผลาญได้ดีขึ้น เป็นตัวช่วยไขกระดูกในการสร้างเลือด ช่วยขยายเส้นเลือด ช่วยต้านการแข็งตัวของเลือด ช่วยลอความสามารถในการจับตัวเป็นลิ่มเลือด และลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดสมองและ หัวใจ                              
* บำรุงตับซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับเลือดมากมาย                                            
* ช่วยให้ระบบสืบพันธุ์ เซลล์ประสาท และกล้ามเนื้อทำงานได้ตามปกติ             
* บำรุงตับซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับเลือดมากมาย                                            
* ช่วยให้ผิวหนังสดใส และช่วยสมานแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกให้หายเร็วขึ้น        
* ช่วยให้ปอดทำงานดีขึ้น และไม่อ่อนเพลียง่าย
ปริมาณที่แนะนำ
* ควรกินวิตามิน E เสริม ขนาดเม็ดละ 400 I.U. วันละ 2 เม็ด เช้า-เย็น            
* ไม่ควรกินในปริมาณที่มากเกินไป เพราะอาจเกิดความดันโลหิตสูงได้ในบางราย วิธีแก้อาการดังกล่าวคือ ควรกินในปริมาณ 100 I.U. ก่อน แล้วจึงเพิ่มปริมาณเป็น 200 I.U. และ 400 I.U. ตามลำดับ
* หากกินเหล็กและวิตามิน E พร้อมกัน จะเกิดภาวะที่ร่างกายไม่สามารถดูดวึมวิตามิน E ได้ วิธีแก้คือ ควรแยกกินวิตามิน E ก่อนธาตุเหล็ก 8-12 ชั่วโมง

วิตามิน B1 หรือ Thiamin
ประโยชน์
* จำเป็นต่อการทำงานของสมอง ระบบประสาท ระบบย่อย หัวใจ และกล้ามเนื้อ ช่วยให้เจริญอาหาร และช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยแก้อาการเมาคลื่น และเมา อากาศ                                                                                
* ช่วยเพิ่มภูมิชีวิตและรักษางูสวัด (Herpes Zoster) ให้หายเร็วขึ้น
ปริมาณที่แนะนำ
* ถ้าต้องการกินวิตามินชนิดนี้เป็นอาหารเสริมควรกินวันละ 1 เม็ดหลังอาหาร เม็ดละ 100 mg
* หากเกิดอาการเครียด ตื่นเต้น เจ็บป่วยโดยเฉพาะหลังผ่าตัด ควรกินวิตามิน B1 ร่วมกับวิตามิน B Complex (วิตามินบีรวม)                                            
* คนที่ควรกินวิตามิน B1 เสริม คือ
- คนที่ชอบกินของหวานๆ กับแป้งขาวมากๆ หรือสูบบุหรี่ และดื่มเหล้าจัด ซึ่งมีโอกาสเป็นโรคขาดวิตามิน B1 ได้
- คนที่กินยาลดกรดในกระเพาะเป็นประจำ เพราะยาลดกรดจะทำลายวิตามิน B1 ในอาหารให้เหลือน้อยลง
- ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ หรือคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ และผู้หญิงที่กินยาคุมกำเนิดเป็นประจำ

วิตามิน B6 หรือ Pyridoxine
ประโยชน์
* ช่วยเปลี่ยนแอมิโนแอซิดให้เป็นวิตามินอีกตัวคือ Niacin หรือวิตามิน B3 ช่วยร่างกายสร้างภูมิต้านทานแอนติบอดี และช่วยสร้างเซลล์โลหิตให้ดียิ่งขึ้น                
* ช่วยร่างกายสร้างน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร และแร่ธาตุแมกนีเซียม                
* ช่วยบรรเทาโรคเกิดระบบประสาทและผิวหนัง                                         
* ช่วยบรรเทาการคลื่นไส้ และอาเจียน                                                   
* ช่วยบรรเทาอาการปากแห้ง และคอแห้ง                                               
* ช่วยแก้การเป็นตะคริว แขนขาชา และช่วยขับปัสสาวะ
ข้อแนะนำสำหรับบางคน
* ผู้ที่กินยาคุมกำเนิดควรกินวิตามิน B6 เป็นประจำ                                     
* ผู้ป่วยเบาหวาน ถ้าต้องใช้อินซูลิน ควรกินวิตามิน B6 ควบ และปรับอัตราการใช้อินซูลินให้ได้ตามส่วนของน้ำตาลในเลือด

วิตามินB12 หรือ Cobalamin
ประโยชน์
* ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง                                                                    
* ช่วยให้เด็กเติบโตและเจริญอาหาร                                                      
* ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ดี                                                        
* ช่วยให้สมองไม่ฟุ้งซ่าน ความจำดี และมีสมาธิ
ข้อแนะนำสำหรับบางคน
* ผู้หญิงที่อ่อนเพลียเพราะประจำเดือนมามาก ควรกินวิตามิน B12 เสริม           
* ผู้ที่เป็นมังสะวิรัติอย่างเคร่งครัด ก็ควรกินวิตามิน B12 เสริมเช่นกัน                 
* ผู้ที่ติดเหล้าหรือดื่มจัดก็ควรกินวิตามิน B12 เสริมเป็นประจำ

วิตามิน B3 หรือ Niacin
ประโยชน์
* ช่วยทำลายพิษหรือท็อกซินจากมลพิษ แอลกอฮอล์ และยาเสพติด               
* รักษาโรคทางจิตและโรคเกี่ยวกับความผิดปกติทางสมอง                            
* ช่วยอาการต่างๆ ของผู้ป่วยเบาหวานให้ดีขึ้น                                          
* ช่วยรักษาโรคปวดหัวไมเกรน                                                            
* ช่วยบรรเทาโรคอาไทรทิสและข้ออักเสบ                                               
* ช่วยกระตุ้นและแก้ไขความบกพร่องทางเซ็กซ์                                          
* ช่วยลดความดันโลหิตสูง
ปริมาณที่แนะนำ
* สามารถกินวิตามิน B3 เสริมได้ตั้งแต่ 100 - 2,000 mg ต่อวัน                  
* สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจควรใช้ในปริมาณที่สูงถึงวันละ 7,000-8,000 mg

วิตามิน B5 หรือ Pantoyhenic Acid
ประโยชน์
* ช่วยสร้างแอนติบอดี้ซึ่งเป็นตัวสำคัญของ Immune System หรือภูมิชีวิต      
* เมื่อร่างกายเปลี่ยนไขมันที่สะสมไว้ให้เป็นน้ำตาลเพื่อสร้างพลังงาน วิตามินB5 จะเป็นตัวสำคัญในการเปลี่ยนไขมันเป็น น้ำตาล                                              
* ช่วยให้บาดแผลหายเร็วขึ้น                                                               
* ช่วยให้ร่างกายหายจากการช็อคหลังการผ่าตัดใหญ่                                   
* ช่วยให้อาการอ่อนเพลียหายเร็วขึ้น
ปริมาณที่แนะนำ
* ในรายที่ขาดวิตามิน B5 ควรกินเสริมวันละ 2 เม็ด เม็ดละ 100 mg

วิตามิน B Complex
ประโยชน์
* ช่วยในการย่อยหรือแตกตัวของคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นก ลูโคส ช่วยในการย่อยหรือแตกตัวของโปรตีนและ ไขมัน                                                      
* ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ตามปกติ                                                
* ช่วยให้กล้ามเนื้อในกระเพาะและลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น                                
* ช่วยบำรุงผิวหนัง เส้นผม ตา ปาก และตับ                                             
* ในกลุ่มชีวจิตเราเชื่อว่าเมื่ออายุ 70 ปีขึ้นไป การดูดซึมของลำไส้จะทรุดโทรมลง ต้องแก้ไขด้วยการบริหารร่างกายและใช้วิตามินกลุ่ม B Complex
ปริมาณที่แนะนำ
* ตามปกติผู้ที่กินอาหารตามสูตรของชีวจิต จะได้รับวิตามิน 2 ชนิดนี้เพียงพอ      
* ถ้าเป็นอาหาร วันหนึ่งๆ เรามีวิตามิน 2 ชนิดนี้รวมกันวันละ 300-400 mg ก็เพียงพอแล้วแต่ถ้าใช้เป็นยาต้องใช้ถึงวันละ 3,000-5,000 mg

ที่มา: http://lifestyle.hunsa.com/detail.php?id=1775

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

วิธีถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์

     สำหรับคนที่วันๆ ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ คงต้องเกิดอาการปวดตา ตามัว ตาแห้ง สายตาล้า หรืออาการทางสายตาอื่นๆ กันบ้าง ปัจจุบันอาการทางสายตาที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์มีเพิ่มขึ้น จากสถิติพบว่า ผู้ใช้คอมพิวเตอร์จำนวนมากกว่า 50% มีอาการปวดตา ตามัว ตาแห้ง สายตาล้า และปวดศรีษะ รวมทั้งมีอาการอื่นๆ เช่น ปวดเหมื่อยคอและหลัง ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์มากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน และยังมีตัวแปรอีกหลายประการที่ทำร้ายสายตาของเรา เช่น ชนิดของจอคอมพิวเตอร์ แสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์ ความสว่างของห้อง ท่านั่ง ฯลฯ





เคล็ดลับเพื่อถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์


1. กระพริบตาให้ถี่ขึ้น
อาการ ตาแห้ง เกิดจากการที่เรากระพริบตาน้อยลง เนื่องจากมีสมาธิขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ อัตราการกระพริบตาจะลดลงจาก 20 - 22 ครั้งต่อนาที เหลือเพียง 6 - 8 ครั้งต่อนาที ถ้าไม่อยากตาแห้ง ควรจะกระพริบตาให้ถี่ขึ้น หรืออาจใช้น้ำตาเทียมหยอดตา เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น

2. จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม ให้บริเวณหน้าต่างอยู่ทางด้านข้างของจอคอมพิวเตอร์ เพื่อลดแสงตกสะท้อนบนหน้าจอ ควรจัดให้มีระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเราประมาณ 50 - 70 ซ.ม. จัดระดับจอภาพจากจุดศูนย์กลางของจอคอมพิวเตอร์ ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4 - 9 นิ้ว ไม่ควรให้จอภาพอยู่สูงหรือต่ำเกินไป

3. ปรับความสว่างของห้อง ควร ปิดไฟบางดวงที่ทำการรบกวนการทำงาน เพราะปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากความสว่างที่มากเกินไป ถ้ามีแสงจ้าจากหน้าต่าง ควรใช้มูลี่เพื่อปรับแสงให้ผ่านได้เพียงบางส่วน และไม่เข้าตาโดยตรง หลีกเลี่ยงการใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีผิวสะท้อน เช่น โต๊ะสีขาว ควรใช้วัสดุที่มีผิวด้าน ที่สะท้อนแสงไม่มากจะดีกว่า

4. เลือกใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่ เวลา พิมพ์งาน ควรเลือกใช้ขนาดของตัวอักษรที่ใหญ่พอ และปรับความเข้มของตัวอักษรให้มากขึ้น ซึ่งขนาดตัวอักษรและความเข้มที่เหมาะสมจะสังเกตได้จากการที่เราอ่านตัว อักษรได้ในระยะห่างเป็น 3 เท่าของระยะที่นั่งทำงาน หรือเลือกใช้จอคอมพวิเตอร์ชนิด LCD (จอแบน) ซึ่งจะช่วยถนอนสายตาได้ดีกว่าจอแบบเก่า (CRT)

5. เลือกใช้แว่นที่เหมาะสมกับการใช้คอมพิวเตอร์ ควร เลือกใช้เลนส์สีเขียวอ่อน ที่ช่วยให้สบายตาภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ และเพื่อลดแสงสะท้อนจากจอภาพ โดยเลือกแว่นตาที่มีกำลังขยายสำหรับระยะ 50 - 70 ซ.ม. (ระยะกลาง) ซึ่งค่ากำลังของเลนส์ดังกล่าวจะแตกต่างจากเลนส์อ่านหนังสือ หรือเลนส์มองใกล้ทั่วไป

6. พักสายตา ทุกๆ ชั่วโมง
ควรเปลี่ยนอริยาบถ หรือลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายบ้าง เพื่อพักสายตาและป้องกันอาการปวดเมื่อยจากการใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็น เวลานาน

ที่มา: http://www.sapaan.net/forum/health-community/aacanooa1iacoacaoaaeiaocaiai/

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ค่าดัชนีน้ำตาลในอาหาร มีความสัมพันธ์กับเบาหวานอย่างไร

     ผู้ที่เป็นเบาหวานจะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ โดย มักจะได้รับคำแนะนำให้ควบคุมอาหารร่วมกับการใช้ยา เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่คนที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ก็จะมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนตามมา เช่น เกิดความพิการของจอรับภาพทำให้ตามัว เกิดต้อกระจกหรือต้อหิน ไตวาย หรืออาจพบความพิการของประสาทส่วนปลาย ทำให้มีอาการชา ปลายมือปลายเท้า ทำให้เมื่อเกิดแผลอักเสบอาจไม่รู้สึกเจ็บ โดยเฉพาะที่เท้า ดังนั้นการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น การควบคุมชนิดและปริมาณ ของอาหารคาร์โบไฮเดรต หรืออาหารประเภทแป้ง ก็จะช่วยให้ผู้ที่เป็นเบาหวาน สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้

อาหารคาร์โบไฮเดรตมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดอย่างไร



เมื่อ คนเรารับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต เช่น แป้ง เผือก มัน น้ำตาล ขนมหวาน หรือผลไม้ คาร์โบไฮเดรตในอาหารเหล่านี้ จะถูกย่อยโดยน้ำย่อยในทางเดินอาหาร จนได้เป็นกลูโคส ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีขนาดเล็ก สามารถถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อนำไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงาน เมื่อนำอาหารแต่ละชนิดมาเปรียบเทียบกัน โดยให้มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตเท่ากัน ปรากฎว่าอาหารแต่ละชนิดจะถูกย่อย และถูกดูดซึมเข้าร่างกายในอัตราที่แตกต่างกัน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นต่างกัน ได้มีการศึกษาหาปริมาณน้ำตาลกลูโคสในเลือดที่เพิ่มขึ้น หลังจากได้รับอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต 50 กรัม เปรียบเทียบกับปริมาณน้ำตาลกลูโคสในเลือดที่เพิ่มขึ้น หลังจากได้รับอาหารมาตรฐาน (คือกลูโคสหรือขนมปัง) ค่าที่ได้นี้เรียกว่าดัชนีน้ำตาล (glycemic index) ค่าดัชนีน้ำตาลของกลูโคสจะมีค่าเท่ากับ 100 ดังนั้น ถ้าอาหารใดมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำกว่า 100 แสดงว่าคาร์โบไฮเดรตในอาหารนั้น ถูกดูดซึมได้น้อยกว่าอาหารมาตรฐาน ค่าดัชนีน้ำตาลของอาหารจะแบ่งเป็น 3 ระดับ
- อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ   (ค่าดัชนีน้ำตาลต่ำกว่า 55)
- อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลปานกลาง   (ค่าดัชนีน้ำตาล 55 - 70)
- อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง   (ค่าดัชนีน้ำตาลมากกว่า 70)

ค่าดัชนีน้ำตาลของอาหารแต่ละชนิดจะแตกต่างกัน ขึ้นกับ...
    
• ชนิดของคาร์โบไฮเดรต   ที่เป็นส่วนประกอบของอาหาร
    
• กระบวนการแปรรูปอาหาร เช่น การหุงต้ม ทำให้อาหารพวกแป้งถูกย่อยและดูดซึมได้ดีขึ้น การแปรรูปอาหารมีผลต่อค่าดัชนีน้ำตาลของอาหาร เนื่องจากการให้ความร้อนกับแป้งที่มีน้ำอยู่ด้วย แป้งจะดูดซับน้ำและพองตัว ทำให้น้ำย่อยสามารถย่อยแป้งให้เป็นกลูโคสได้เร็วขึ้น ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงกว่าการรับประทานแป้งที่ไม่ผ่านความร้อน การบดอาหาร เช่น ข้าวที่ผ่านการบดจะถูกย่อยและถูกดูดซึมได้เร็วกว่าข้าวที่ไม่ผ่านการบด
    
• ส่วนประกอบในอาหาร เช่น การรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตพร้อมกับอาหารที่มีไขมันและโปรตีนจะทำให้ การดูดซึมกลูโคสเข้ากระแสโลหิตช้าลง ระดับน้ำตาลในเลือดจะเพิ่มขึ้นช้าลง หรือการรับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูงๆ เช่น การรับประทานข้าวซ้อมมือ หรือการรับประทานผักผลไม้เพิ่มขึ้น จะชะลอการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำตาลในเลือด



ปัจจุบัน พบว่าการรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงในปริมาณมาก จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคมะเร็งบางชนิดได้ การรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตที่ค่าดัชนี น้ำตาลสูงในปริมาณมาก จะทำให้ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดสูงขึ้น ทำให้ความต้องการอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยในการนำกลูโคสเข้าไปเผาผลาญในเซลล์เพิ่มขึ้น การรับประทานอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลสูง จึงเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน และใน ผู้ที่เป็นเบาหวาน การรับประทานคาร์โบไฮเดรตที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ แทนคาร์โบไฮเดรตที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง จะช่วยให้สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ทำได้ง่ายๆ โดยการรับประทานธัญพืชหรือข้าวซ้อมมือแทนแป้งหรือข้าวที่ขัดสี

ดัง นั้น ผลจากการที่รับประทานอาหาร ที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงในปริมาณมาก คาร์โบไฮเดรตในอาหาร จะถูกย่อยเป็นกลูโคส และถูกดูดซึมอย่างรวดเร็ว มีผลไปกระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้กลูโคสถูกนำเข้าสู่เซลล์ต่างๆ ในร่างกายเพื่อเผาผลาญให้เป็นพลังงาน แต่หลังจากการรับประทานอาหารไปแล้ว 2-4 ชั่วโมง ปริมาณอาหารที่ถูกดูดซึมในทางเดินอาหารลดลง แต่ฤทธิ์ของอินซูลินยังคงอยู่ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงมาก จนอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ และทำให้รู้สึกอยากอาหาร ส่วนคนที่รับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ระดับน้ำตาลในเลือดยังคงอยู่ในระดับปกติ หลังจากการรับประทานอาหาร 4-6 ชั่วโมง ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนบางชนิดออกมา เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ โดยกระตุ้นการสลายกลัยโคเจนซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่สะสมอยู่ในร่างกาย และเพิ่มการสร้างกลูโคสจากแหล่งอาหารอื่น เช่น ไขมัน การรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง จึงมีผลให้ระดับกรดไขมันในเลือดเพิ่มขึ้นมากกว่า การรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ

การรับประทานอาหารที่มีค่า ดัชนีน้ำตาลต่ำ จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวาน และ สำหรับคนที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ก็จะสามารถควบคุม ระดับน้ำตาลในเลือดได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้อาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำจะทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น ในขณะที่อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงจะทำให้อยากอาหารมากขึ้น อาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำจึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก และยังช่วยลดระดับไขมันในเลือด

เพื่อสุขภาพที่ดี เราจึงควรหันมาเลือกรับประทาน อาหารคาร์โบไฮเดรตที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ถ้าจะเลือกอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง ก็ควรรับประทานร่วมกับอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ เลือกรับประทานอาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูปน้อยที่สุด เช่น รับประทานข้าวซ้อมมือแทนข้าวที่ขัดสี หรือขนมปังโฮลวีทแทนขนมปังขาว รับประทานผลไม้ทั้งผล เช่น ส้ม แทนที่จะรับประทานน้ำส้มคั้น ซึ่งพฤติกรรมนี้จะช่วยลดโอกาสเสี่ยง ของการเกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งโรคอ้วนได้ด้วย

อย่างไรก็ตามค่าดัชนี น้ำตาลเป็นเพียงส่วนหนึ่งของทางเลือกในการรับประทาน อาหารเพื่อสุขภาพที่ดี แต่หลักสำคัญที่ต้องไม่ลืมก็คือการรับประทานอาหารตรงเวลา รับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ แต่ละหมู่ให้หลากหลาย จำกัดน้ำตาลและของหวาน ลดอาหารที่มีไขมันสูง รับประทานผักให้มากรับประทานผลไม้เป็นประจำ และหมั่นดูแลน้ำหนักตัว
ที่มา: http://www.sapaan.net/forum/health-community/aooeco1-vs-na1o1eooaa1ioeoa-aocoaenan1iaoeacein1iaeoaa/

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

30 คำถาม – คำตอบ การคุมกำเนิด จาก หมอชาวบ้าน

ถ้าพูดถึงเรื่องการคุมกำเนิด หลายคนคงคิดถึงการทำอย่างไรไม่ให้มีลูกเท่านั้น แต่ความเป็นจริงนั้น มันเป็นส่วนหนึ่งของการมีชีวิตคู่


การ เริ่มต้นของการใช้ชีวิตคู่ของคนสองคน ซึ่งมาจากครอบครัวและการเลี้ยงดูที่แตกต่างกัน ย่อมมีความรู้สึกนึกคิด ตลอดจนอุปนิสัยและพฤติกรรมแตกต่างกันออกไปด้วย แต่เมื่อมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ก็ต้องมีการปรับตัวปรับใจเข้าหากัน มีสัมพันธภาพที่ดีและสอดคล้องต้องกันร่วมกันสร้างครอบครัวที่อบอุ่น และมีการวางแผนครอบครัวที่เหมาะสม
การคุมกำเนิดเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนครอบครัวของชีวิตคู่ในขณะที่ไม่พร้อมจะมีลูก
ถึง แม้การคุมกำเนิดจะมีการรณรงค์ เผยแพร่ และการปฏิบัติอย่างจริงจัง ทั้งหน่วยงานเอกชน และรัฐบาล แต่ความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับการคุมกำเนิดก็ยังมีอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดตั้งครรภ์ขึ้นมาในขณะที่ครอบครัวยังไม่มีความพร้อม
อาจารย์จริยาวัตร คมพยัคฆ์ แห่งคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รวบรวมความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับการคุมกำเนิดไว้ว่า
- หญิงหลังคลอดยังไม่มีประจำเดือนจะไม่คุมกำเนิดเพราะคิดว่าไม่ตั้งครรภ์
- ถ้าบุตรยังดูดนมอยู่จะไม่ตั้งครรภ์โดยไม่ต้องคุมกำเนิด
- ถ้าแม่ของหญิงหลังคลอดเคยมีบุตรห่างจะคิดว่าตนเองน่าจะมีบุตรห่างด้วย จึงไม่คุมกำเนิด
- หลังแท้งถ้าประจำเดือนยังไม่มาจะไม่ตั้งครรภ์
- การใช้ถุงยางอนามัยทำให้เกิดความรู้สึกดีไม่เท่าธรรมชาติ
- การหลั่งภายนอกช่องคลอดทำให้ไม่ตั้งครรภ์
- การนับวันปลอดภัยคิดว่าป้องกันการตั้งครรภ์ได้ ๑oo เปอร์เซ็นต์
- ฝ่ายหญิงเท่านั้นมีหน้าที่ที่จะต้องป้องกันการตั้งครรภ์ เช่นกินยา
- ผู้ชายทองแดง (อัณฑะมี testis ข้างเดียว) เป็นหมัน ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าผู้หญิงจะตั้งครรภ์
- ถ้าสามีไม่อยู่ด้วยประจำ เช่น ไปต่างจังหวัดนานๆ จะกินยาคุมเฉพาะเวลาสามีกลับมาคือก่อนการร่วมเพศ
- ใช้ถุงยางอนามัยซ้ำ (ล้างและเก็บไว้แบบถุงมือ) ได้
- ลืมกินยาแล้วไม่ท้อง ก็เลยลืมบ่อยๆ คิดว่าไม่เป็นไร
- ฝ่ายชายคิดว่าทำหมันแล้วหมดสมรรถภาพ
- หลังร่วมเพศ ฝ่ายหญิงล้างช่องคลอดด้วยน้ำส้มสายชู หรือยาฆ่าเชื้ออื่นๆ จะทำให้ไม่ตั้งครรภ์ เพราะเชื้ออสุจิตายแล้ว
- การร่วมเพศครั้งที่สอง (ในเวลาเดียวกัน) ไม่ต้องสวมถุงยางอนามัย เพราะอสุจิหลั่งออกไปหมดแล้วตั้งแต่การร่วมเพศครั้งแรก
และอื่นๆ


                         
จาก การเข้าใจผิดๆข้างต้นจะเห็นว่าถึงแม้คู่สมรสจะเตรียมการคุมกำเนิด แต่เมื่อไม่เข้าใจรายละเอียดการคุมกำเนิด ก็ไม่สามารถที่จะคุมกำเนิดให้ได้ผลอย่างจริงจังได้
ดังนั้นเราจึงเชิญนายแพทย์พนิตย์ จิวะนันทประวัติ มาตอบคำถามที่มักจะเกิดขึ้นเกี่ยวกับวิธีคุมกำเนิดที่บางท่านยังไม่เข้าใจ
1. บางคนคุมกำเนิดโดยใช้ถุงยางอนามัย แล้วทำไมจึงตั้งครรภ์ได้
สามี ภรรยาจำนวนไม่น้อยมีเพศสัมพันธ์กันจนกระทั่งฝ่ายชายใกล้ถึงจุดสุดยอดจึงค่อย ใส่ถุงยางอนามัย ซึ่งอันนี้เป็นวิธีที่ผิด เพราะว่าฝ่ายชายในขณะที่มีเพศสัมพันธ์จะมีตัวเชื้อออกมาบ้างแล้ว โดยที่ไม่จำเป็นต้องถึงจุดสุดยอด ฉะนั้นจึงทำให้ภรรยาตั้งครรภ์ได้
การ ใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกต้องต้องใช้ตั้งแต่เริ่มต้นคือเวลาที่อวัยวะเพศชาย แข็งตัวต้องใส่ทันที เมื่อถึงจุดสุดยอดแล้วขนาดของอวัยวะเพศชายจะเล็กลงจึงไม่ควรแช่ไว้ เพราะน้ำเชื้ออาจจะออกจากถุงยางได้
นี่คือเหตุผลหนึ่งที่บางคนเข้าใจผิด คิดว่าหลั่งภายนอกช่องคลอดจะไม่ทำให้ตั้งครรภ์เพราะคิดว่าถึงจุดสุดยอดเชื้อ จึงออกมา แต่ความจริงออกมาบ้างแล้วตั้งแต่ยังไม่ถึงจุดสุดยอด
2. หากถุงยางหมดอายุจะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้หรือไม่
การใช้ถุงยางที่หมดอายุหรือคุณภาพไม่ดี ก็มีส่วนทำให้ป้องกันการคุมกำเนิดไม่ได้ผล เพราะถุงยางอาจฉีกขาดหรือรั่วได้
3. การใช้ถุงยางให้ความรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติจริงหรือไม่
การ ที่บ้านเรายังใช้ถุงยางอนามัยกันน้อย เพราะเข้าใจว่ามันไม่เป็นธรรมชาติ เหมือนคันแล้วเกานอกเสื้อ แต่ที่จริงก็ได้ความรู้สึกเหมือนกัน บางคนที่มีความรู้สึกไว หลั่งเร็ว การใช้ถุงยางจะช่วยตรงนี้ได้ด้วย
4. การใช้ถุงยางอนามัยมีข้อดีหรือข้อเสียอย่างไร
การ ใช้ถุงยางอนามัยเป็นการคุมกำเนิดที่ดีต่อฝ่ายหญิง เพราะไม่ต้องกังวลกับปัญหาในเรื่องผลข้างเคียงของการกินหรือฉีดยาคุมกำเนิด รวมทั้งป้องกันการติดเชื้อจากโรคทางเพศสัมพันธ์ และโรคเอดส์ได้
5. ปกติการคุมกำเนิดโดยนับวันของรอบเดือนถือว่าช่วงไหนเป็นวันปลอดภัย
ช่วง ที่ไข่ฝ่อและเยื่อบุมดลูกสลายตัวหลุดออกจากผนังมดลูกและช่วงเวลาที่ไข่เริ่ม เจริญเติบโต เป็นช่วงที่ถือว่าปลอดภัยจากการที่จะมีลูก คือ ระหว่างช่วง 7 วันก่อนมีประจำเดือนวันแรก และ 7 วันหลังมีประจำเดือนวันแรก
ช่วงที่ตกไข่ คือ ช่วงหลังวันที่ 7-21 ของรอบเดือนจึงเป็นช่วงที่ไม่ปลอดภัยมีโอกาสมีลูกได้
6. การนับวันปลอดภัย ทำไมถึงไม่สามารถป้องกันได้ 100 เปอร์เซ็นต์
การ คุมกำเนิดโดยวิธีใช้นับรอบเดือนนั้น ส่วนใหญ่รอบเดือนของผู้หญิงมักคลาดเคลื่อน โดยเฉลี่ยประจำเดือนแต่ละรอบจะใช้เวลาประมาณ 28 วัน หรือ 28 บวกลบ 7คือ บางคนอาจจะประมาณ 21 วัน

(28-7) หรือบางคนอาจจะ 35 วัน (28+7) ซึ่งถือว่ามาปกติ
ปัญหา ของการ นับวันโดยวิธีธรรมชาติ คือ หากรอบเดือนเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากมีปัจจัยอะไรมาเกี่ยวข้อง เช่น ความเครียด การเจ็บป่วย ก็ทำให้ประจำเดือนมาเร็ว หรือเลื่อนออกไป การคุมกำเนิดก็อาจพลาดได้ นี่คือเหตุผลที่ว่าการนับวันอาจพลาดได้ถ้าเดือนใดประจำเดือนมาคลาดเคลื่อน
7. หลังคลอด หรือหลังจากแท้งลูก หรือลูกดูดนม และประจำเดือนยังไม่มา จะไม่ตั้งครรภ์จริงหรือไม่
ที่ถือว่าประจำเดือนยังไม่มาจะไม่มีลูกนั้น ไม่จริง เพราะรังไข่ของฝ่ายหญิงอาจเพิ่งเริ่มทำงาน ดังนั้นโอกาสที่จะมีลูกจึงเป็นไปได้
8. การกินยาคุมกำเนิดกินช่วงไหนของเดือนก็ได้ ใช่มั้ย
การคุมกำเนิดนั้นไม่ใช่กินตอนไหนก็ได้ผล
การคุมกำเนิดที่ได้ผลนั้นต้องเริ่มกินในวันที่ถูกต้อง คือ กินในวันแรกที่มีรอบเดือน หรือในช่วงที่มีประจำเดือนภายใน 5 วันแรกเท่านั้น
ที่ สำคัญการกินยาคุมกำเนิดต้องกินติดต่อกันทุกวัน และควรเป็นเวลาเดียวกันทุกวัน แต่ละเม็ดไม่ควรห่างกันนานกว่า 24 ชั่วโมง กินหลังอาหารเย็น หรือก่อนนอนจะดี เพราะยาคุมจะออกฤทธิ์ ซึ่งเป็นเวลาที่หากเกิดผลข้างเคียงก็อยู่ที่บ้าน
การกินยาคุมต้องกินติดต่อกันตามกำหนด ไม่ใช่วันไหนไม่มีเพศสัมพันธ์ก็ไม่กิน วันไหนมีเพศสัมพันธ์ก็กิน เช่นนี้คุมไม่ได้



9. ยาคุมกำเนิดทำไมมี 21 เม็ด กับ 28 เม็ด
ยาคุมกำเนิดจะมีสองชนิดคือ ชนิด 21 เม็ด และ 28 เม็ด
ชนิด 21 เม็ด เมื่อกินหมดแผงแล้วก็ให้เว้น 7 วัน แล้วจึงเริ่มแผงใหม่ต่อไป
สำหรับ ชนิด 28 เม็ดนั้น เขาให้กินทุกวันติดต่อกันแผงต่อแผง อันที่จริง 28 เม็ดก็มีตัวยาเพียง 21 เม็ด อีก 7 เม็ดสุดท้ายซึ่งจะมีสีแตกต่างกันนั้น ไม่ได้เป็นยาคุม เป็นวิตามินหรืออื่นๆ
10. หากลืมกินยาคุมไป 1 เม็ด ควรทำอย่างไร
หากลืมกิน 1 เม็ดให้รีบกินยาทันทีที่นึกได้ และกินเม็ดต่อไปตามปกติ
หาก ลืมกินในช่วงอาทิตย์แรกและอาทิตย์สุดท้ายก็มีโอกาสน้อยที่จะมีลูก แต่ถ้าลืมกินและมีเพศสัมพันธ์ในช่วงอาทิตย์ที่ 2 และ 3 โอกาสที่จะมีลูกได้จึงสูง ดังนั้นหากลืมกินจึงควรเปลี่ยนเป็นใช้ถุงยางอนามัย
11. ได้ยินว่ากินยาคุมแล้วมีผลข้างเคียง เช่น ทำให้อ้วน แพ้ยา จริงหรือไม่
คนที่กินยาคุมมีแนวโน้มที่จะอ้วนมากกว่าคนไม่ได้กิน เพราะยาจะสะสมในร่างกายในรูปไขมัน จึงควรควบคุมการกินอาหาร
ส่วน ในเรื่องแพ้ยาคุมนั้นเป็นความเข้าใจผิด อาการที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลข้างเคียงของยา เช่น กินแล้วบางคนอาจคลื่นไส้ อาเจียน เวียนหัว ตื่นนอนตอนเช้าอยากอาเจียน
12. ใครที่ไม่ควรกินยาคุมกำเนิด
คน ที่ไม่ควรกินยาคุมคือคนที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคเกี่ยวกับเลือด ปวดหัวบ่อยๆ เป็นโรคเกี่ยวกับตับ เป็นโรคหัวใจ หรือมีประวัติเคยเป็นมะเร็งมาก่อน คนที่มีโรคเหล่านี้ไม่ควรกินยาคุม
สำหรับคนที่กินยาคุมแล้วรู้สึกผิดปกติก็ควรปรึกษาแพทย์ เพราะความเหมาะสมที่จะเลือกใช้ยาในการคุมกำเนิดของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน
13. ยาคุมกำเนิดชนิดกินหลังร่วมเพศได้ผลแน่นอนหรือไม่
การ กินยาคุมกำเนิดคือ กินก่อนร่วมเพศหรือหลังร่วมเพศ แต่ประเภทหลังนี้ทางการแพทย์ยังไม่ยืนยันว่าใช้คุมกำเนิดได้แน่นอน ยานี้เขามีข้อกำหนดว่าต้องมีเพศสัมพันธ์ไม่บ่อย ประมาณอาทิตย์ละ 1ครั้ง เป็นอย่างมาก และต้องกินยาทันทีภายใน 1 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ ถ้าช้าไปกว่านั้นอาจท้องได้
14. ยาคุมกำเนิดแบบฉีด แต่ละครั้งคุมได้นานเท่าใด
ปัจจุบัน ยาฉีดคุมกำเนิดนั้น ฉีดครั้งหนึ่งมีฤทธิ์คุมกำเนิดได้ 3 เดือนโดยจะฉีดบริเวณสะโพก เมื่อฉีดแล้วตัวยาจะอยู่ที่สะโพก และค่อยๆขับฮอร์โมนออกมา
15. ควรเริ่มฉีดยาคุมกำเนิดเมื่อไร
การฉีดยา คุมกำเนิดก็เหมือนกับยากิน คือ ต้องเริ่มภายใน 5 วันแรกของรอบเดือนก่อนที่รังไข่จะทำงาน ถ้ารังไข่ทำงานแล้วจึงฉีด มีโอกาสท้องได้เช่นกัน
16. หลังจากฉีดยาคุมกำเนิด ประจำเดือนยังคงมาปกติหรือไม่
คน ที่ฉีดยาคุมกำเนิดต้องเข้าใจว่า เมื่อฉีดยาคุมแล้ว รอบเดือนจะผิดปกติเกือบทุกคน รอบเดือนจะมาไม่เหมือนเดิม ระยะแรกจะมากะปริดกะปรอย ไม่แน่นอน ฉีดนานๆหลายเข็มเข้า ประจำเดือนจะหายไปเลย
แต่ถ้าหยุดฉีดไประยะหนึ่ง ฮอร์โมนจากธรรมชาติก็เริ่มใหม่ ประจำเดือนก็จะมาปกติ
17. มีบางคนบอกว่า ถ้าฉีดยานานๆจะมีโอกาสเป็นหมันจริงหรือไม่
ไม่จริงครับ แต่จะทำให้มีลูกช้าได้
คนที่ฉีดยาต้องวางแผน เพราะไม่ใช่เมื่อพร้อมที่จะมีลูก หรืออยากมีลูกเมื่อไรแล้วหยุดฉีดจะมีลูกได้ทันที แต่ต้องรอไประยะหนึ่ง
เช่น ฉีดไป 2 ปีกว่า ยาจะหมดฤทธิ์ก็ต้องรออีก 9 เดือน ถ้าฉีดนานปีกว่านี้ก็จะรอยาวนานขึ้นอีก การจะใช้ยาฉีด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อจะได้ตรวจร่างกายให้พร้อม
18. มีข้อควรระวังอย่างไรในการใช้ยาฉีด
เมื่อ ฉีดยาแล้ว อย่าไปคลึงหรือขยี้บริเวณที่ฉีด เพราะจะทำให้ตัวยาในร่างกายน้อยวันลง แทนที่จะอยู่ได้ 90 วัน หรือ 1 เดือน ก็อาจเหลือเพียงแค่ 80 วัน ถึงแม้การฉีดยาคุมนี้จะอยู่ได้ 3 เดือน แต่ส่วนใหญ่หมอมักนัดคนไข้มาฉีดก่อน 1 สัปดาห์
19. การใช้ยาฉีดคุมกำเนิดมีผลข้างเคียงอย่างไรหรือไม่
ผลข้างเคียงของยา ได้แก่ น้ำหนักตัวเพิ่ม ปวดหัว หงุดหงิด ปวดท้อง วิงเวียนและอ่อนเพลีย
20. การคุมกำเนิดโดยใส่ห่วงอนามัยนั้นเหมาะสำหรับคนประเภทใด
คนที่เหมาะสมในการใส่ห่วงอนามัยนั้น ควรเป็นคนที่เคยมีลูกแล้ว เพราะคนที่ไม่เคยมีลูก จะใส่ลำบาก และอาจจะทำให้ปวดท้องได้
21. การใส่ห่วงอนามัยช่วงใดที่ถือว่าเหมาะสม
จะใส่ห่วงเวลาใดก็ได้ แต่การใส่ในช่วงที่กำลังมีรอบเดือนจะใส่ง่ายที่สุดครับ
22. หลังจากใส่ห่วงแล้วต้องปฏิบัติตัวอย่างไร
เมื่อ ใส่เรียบร้อยแล้วก็มาตรวจตามที่หมอนัด อาจ 1-2 เดือนต่อครั้ง ดูว่าห่วงอยู่เรียบร้อยหรือไม่ ถ้าห่วงไม่กระชับจะได้ทำให้กระชับขึ้น เมื่อใส่ได้ระยะหนึ่งมดลูกจะปรับตัวของมันเอง ทำให้ห่วงอยู่ในตำแหน่งที่ควรจะอยู่
ปัจจุบันยังไม่มีห่วงอนามัยที่ดี ที่สุด คือใส่แล้วเหมือนไม่ได้ใส่อะไรเลย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ก็มีการค้นคว้าตลอดเวลาเพื่อจะผลิตห่วงที่ใส่แล้วลืมเหมือนใส่ แหวนอยู่
23. การใส่ห่วงอนามัยมีผลข้างเคียงอย่างไรหรือไม่
ผลข้างเคียงของการใส่ห่วงอนามัยคือ ใส่แล้วอาจมีรอบเดือนมากขึ้น ปวดประจำเดือนมากขึ้น ตกขาวอาจมีบ้าง
24. การใส่ห่วงอนามัยสามารถคุมกำเนิดได้กี่ปี
ห่วงอนามัยในปัจจุบัน เป็นแบบอยู่ได้ 3ปี กับ 5 ปี เปลี่ยนครั้ง ควรปรึกษาผู้ให้บริการ
25. การฝังยาคุมกำเนิดทำอย่างไร และฝังตรงส่วนไหนของร่างกาย
การ ฝังยาคุมกำเนิดจะฝังที่ท้องแขน ยาที่ใช้ฝังจะเป็นเม็ดแคปซูลยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร ตอนใส่ไม่ยาก ครู่เดียวก็เสร็จ แต่ตอนเอาออกต้องใช้เวลานาน
26. การคุมกำเนิดด้วยการฝังยา คุมได้นานกี่ปี
การ ฝังยาในการคุมกำเนิด คุมได้ประมาณ 5 ปี ปัจจุบันบ้านเรายังไม่แพร่หลาย เพราะมีราคาแพง ยานี้ฝังแล้วคุมกำเนิดได้ 5 ปี แต่ส่วนใหญ่แล้วฝังไม่ถึง 5 ปีก็ผ่าออกกัน เพราะว่ามีผลข้างเคียงคือ มีเลือดออกกะปริดกะปรอย บางคนทนรำคาญไม่ไหว เลยให้หมอผ่าออก



27. แล้วที่เคยได้ยินว่ามีถุงยางอนามัยสำหรับผู้หญิง ไม่ทราบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
ถุง ยางอนามัยผู้หญิง อันนี้คงเกิดขึ้นเพราะมีเรื่องโรคเอดส์เป็นตัวนำ เมื่อผู้ชายไม่ยอมใส่ถุงยาง ฝ่ายหญิงก็เลยนำมาใช้ป้องกันตนเอง แต่ยังไม่เป็นที่นิยมกัน อาจเป็นเพราะรูปร่างดูแล้วเหมือนถุงกาแฟ ใส่ลำบาก
28. นอกจากการคุมกำเนิดวิธีดังกล่าวข้างต้น ยังมีวิธีอื่นอีกหรือไม่
นอกจากที่กล่าวมาทั้ง 7 แบบ ยังมีการคุมกำเนิดแบบอื่นๆ แต่ยังไม่นิยมใช้ในเมืองไทย หรือเพิ่งจะนำเข้ามาทดลองใช้ เช่น



ได อะแฟรม มีรูปร่างคล้ายกระทะ ขอบเป็นวงแหวน ขอบยางยืดหยุ่นได้ ตัวเป็นยาง ใส่ในช่องคลอดเพื่อปิดกั้นไม่ให้เชื้ออสุจิผ่านเข้าไปถึงปากมดลูก ก่อนใส่จะมีครีมทาควบคู่กัน นอกจากจะช่วยหล่อลื่นแล้ว ยังช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อเล็ดลอดเข้าไป แต่ใช้ชั่วคราว คือใส่เมื่อมีเพศสัมพันธ์แล้วก็นำออก
ยังมีชนิดอื่นๆอีกแต่ยังไม่แพร่หลายในไทย
29. ทุกคนจะเลือกทุกวิธีคุมกำเนิดได้จริงหรือไม่
การเลือกวิธีคุมกำเนิดนั้น ขึ้นกับความเหมาะสมของแต่ละบุคคลว่าจะเลือกใช้วิธีใด ไม่ใช่ทุกคนจะเหมาะสมกับทุกวิธี
30. ทำไมการคุมกำเนิดจึงมักเป็นฝ่ายหญิงคุม
การ คุมกำเนิดต้องยอมรับว่า ผู้หญิงเป็นผู้ที่ต้องรับภาระเสียเป็นส่วนมาก เพราะกระบวนการตั้งครรภ์อยู่ในผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ และวิธีการคุมกำเนิดในผู้หญิงก็มีให้เลือกมากกว่าในผู้ชาย
ชีวิตคู่เป็น ชีวิตที่ต้องมีความรัก ความเมตตา ความอดทน ความเข้าใจเอื้ออาทรต่อกันและกัน ฝ่ายชายจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเข้าใจในเรื่องการคุมกำเนิดของฝ่ายหญิงด้วย เพราะหากการคุมกำเนิดใดที่มีผลข้างเคียงต่อชีวิตคู่จนเดือดร้อน ฝ่ายชายอาจต้องปรับเปลี่ยนการมีเพศสัมพันธ์ให้เหมาะสม เพื่อมิให้คู่ชีวิตต้องเสียสุขภาพ



ในขณะเดียวกัน ปัจจุบันโรคทางเพศสัมพันธ์ที่น่ากลัวสำหรับชีวิตครอบครัวคือ โรคเอดส์ หากฝ่ายชายมีพฤติกรรมสำส่อน ย่อมนำโรคร้ายมาสู่ครอบครัว ทำให้เกิดความเดือดร้อนและวุ่นวายสับสน ดังนั้นจึงควรงดพฤติกรรมสำส่อน เปลี่ยนวิถีชีวิตให้มีวัฒนธรรมที่ถูกต้อง ดังคำกล่าวที่ว่า ชายไทย ไม่เที่ยวสำส่อน

ที่มา: http://www.sapaan.net/forum/health-community/aca-30-ooa-8211-oio-oaoaoa1o-o-eaiaocoeo1/

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

การป้องกัน ดูแล รักษา โรคภูมิแพ้ชนิดต่างๆ

วิธีการป้องกันและรักษา รวมไปถึงทางแก้ของคนเป็นโรคภูมิแพ้


 กฎข้อหนึ่งที่คนเป็นโรคภูมิแพ้รู้ดีก็คือ "โรคภูมิแพ้เป็นโรคที่ไม่มียารักษา และการกินยารักษาโรคภูมิแพ้ก็ เป็นเพียง ระงับอาการชั่วคราวเท่านั้น ไม่นานก็กลับมาเป็นอีก" ถึงอย่างไร ก็ไม่มีปัญหาใดที่เกิดขึ้นแล้วจะแก้ไขไม่ได้ รวมถึงการเอาชนะโรคภูมิแพ้ด้วย และทางแก้ที่ได้ผลดีที่สุดก็คือ ตัวเราค่ะ เพียงยินดีกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตอย่างจริงจัง เพื่อให้ภูมิต้านทานโรคดีขึ้น ก็สามารถลืมโรคภูมิแพ้ไปได้แล้วค่ะ

 ประสบการณ์ ของผู้อื่นก็เป็นการเรียนรู้แบบทางอ้อม ที่สร้างความเชื่อว่าเห็น ผลจริง และเป็นแรงบันดาลใจให้เราลุกขึ้นมาดูแลตัวเองได้ดีที่สุดทางหนึ่ง ประสบการณ์และทางออกของคนเป็นโรคภูมิแพ้ต่อไปนี้ คือสิ่งที่คุณนำมาปรับใช้ได้ค่ะ


 แพ้อากาศตลอดทั้งปี

 คุณสุธาสินี บุญเลิศรัตน์อาจารย์มหาวิทยาลัย วัย35 ปี ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้อากาศตั้งแต่อายุ 3 ขวบ เนื่องจากไม่ได้ดื่มนมแม่ และคุณพ่อสูบบุหรี่

 อาการ คัดจมูก มีน้ำมูกใส บางครั้งถ้าเป็นมากจะไอมีเสมหะและน้ำมูกไหลลงคอ ช่วงเวลาที่มักมีอาการคือตอนเช้า และตอนเย็นที่เริ่มมีน้ำค้าง นอกจากนี้ในช่วงฤดูฝนซึ่งมีฝนตกตลอดทั้งปียังส่งผลให้มีอาการมาก และนานขึ้น

 การรักษา คุณสุธาสินีเลือกหาแพทย์เฉพาะทางด้านภูมิแพ้เป็นเบื้องต้น เนื่องจากอาการของเธอค่อนข้างหนัก และเป็นมาระยะเวลานานแล้ว เธอจึงรับประทานยาแก้แพ้เมื่อมีอาการดังกล่าว แต่ก็เป็นเพียงการสยบอาการภูมิแพ้ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อร่างกายอ่อนแอ และต้องเจอกับอากาศเย็นชื้น หรือเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ อาการป่วยของเธอก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม

 การดูแลตัวเอง เธอจึงให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองเป็นหลัก ด้วยการรับประทานอาหารที่เน้นผักกับเนื้อปลา เว้นเนื้อสัตว์จำพวกเนื้อไก่ เนื้อวัว และเนื้อหมู เลือกรับประทานผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ฝรั่ง และออกกำลังกายทุกเช้า ผลของการดูแลตัวเองทำให้เธอมีภูมิต้านทานที่ดีขึ้น เป็นหวัด น้อยลง ร่างกายแข็งแรง ไม่เหนื่อยง่าย และน้ำหนักลดลงอีกด้วย

 Tip คุณสุธาสินีบอกเคล็ดลับว่า "เมื่อเริ่มมีอาการไม่ดี ให้ดื่มน้ำอุ่น ทำร่างกายให้อบอุ่นทันที และหลีกเลี่ยงพัดลม อย่านอนให้พัดลมเป่า"


 แพ้อากาศเฉพาะฤดูกาล

 คุณปรเมศ ชัชวาล วิศวกรวัย 30 ปี ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้อากาศ เฉพาะฤดูหนาวมาเมื่อตอนอายุ 20 ปี เริ่มหันมาดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัดตอนอายุ 28 ปี ภายในเวลาเพียง 1 ปีอาการแพ้อากาศดีขึ้นจน หายเป็นปกติ

 อาการ จามตอนเช้า คัดจมูก หายใจไม่ออก หอบเหนื่อย และเป็นหวัดเกือบตลอดฤดู

 การรักษา รักษาด้วยการรับประทานยาแก้แพ้ และแก้หวัด แต่มีอาการเรื้อรังไม่หาย

 การดูแลตัวเอง "ปกติ ผมเปลี่ยนมากินข้าวกล้องอยู่แล้ว เลือกทานเนื้อสัตว์น้อยลง และดื่มน้ำอาร์ซีอาทิตย์ละครั้ง และพอจะเข้าหน้าหนาวผมดื่มน้ำอาร์ซีทุกวันเลย แล้วนำข้าวจากการต้มน้ำอาร์ซีมาหุงกินทุกมื้อ งดเนื้อวัว เนื้อหมู และเนื้อไก่ กินแต่เนื้อปลากับอาหารทะเล ทานผักผลไม้ หลากหลายเกือบทุกมื้อ ตอนเช้าวิ่งจ็อกกิ้งวันละครึ่งชั่วโมง ตอนเย็นก่อนนอนก็จะฝึกโยคะเพื่อให้ปอด แข็งแรง และเป็นการฝึกการหายใจด้วยครับ ก็แปลกดีที่บังคับตัวเองได้ ทั้งที่แต่ก่อนทำไม่ได้ คงเป็น เพราะทำให้ผมหายได้จริง เชื่อไหมครับว่าหน้าหนาวนี้ผมไม่เป็นอะไร แม้แต่ช่วงต้นฤดูที่อากาศ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ในขณะที่เพื่อนๆ ที่ไม่ได้เป็นโรคภูมิแพ้ป่วยกันเป็นแถว"

 Tip คุณปรเมศบอกเคล็ดลับที่ช่วยให้หายจากการคัดจมูกทั้ง 2 ข้างว่า

 "เวลาที่หายใจไม่ออกเพราะจมูกตันทั้งสองข้าง ผมจะนอนตะแคงขวายกศีรษะให้สูงขึ้นสักครู่ และ

 หยดน้ำมันยูคาลิปตัสไว้ที่หมอน หรือตะเกียงน้ำมันหอมระเหยเพื่อให้หายใจโล่งขึ้น ถ้ายังไม่ดีขึ้นก็จะ

 นำเกลือผสมในน้ำอุ่นมาล้างรูจมูกโดยการสูดเข้าไปทีละ ข้างแล้วสั่งออก พยายามอย่าให้สำลัก สัก พักก็จะดีขึ้น"


 แพ้เกสรดอกไม้


 คุณ ดารารัตน์ ธนิกร นักศึกษาวัย 25 ปี แพ้เกสรดอกไม้ตั้งแต่อายุ 6-7 ขวบ เกสรดอกไม้ที่แพ้ ได้แก่ ดอกกระถินณรงค์ ดอกหญ้า ดอกธูปฤาษี ดอกพญาสัตบรรณ์ และกล้วยไม้ 

 อาการ ถ้าได้กลิ่นจะมีอาการเวียนศีรษะจนอาเจียน จาม และน้ำมูกไหล และมักคันที่ตา

 (ภูมิแพ้ขึ้นตา) ร่วมด้วย ทำให้ขยี้ตาจนบวมเป่ง และถ้าเกสรดอกไม้เหล่านั้นสัมผัสผิวก็จะมีผื่นแดงขึ้น เหมือนยุงรุมกัด

 การรักษา กินยาแก้แพ้เมื่อมีอาการ และถ้ามีอาการหลายอย่างร่วมด้วยก็จะรักษาตามอาการ เช่น คันตา ก็ใช้ยาหยอดตา ผื่นขึ้น ก็จะทาคาลามาย 

 การดูแลตัวเอง พยายาม หลีกเลี่ยงให้ไกลจากดอกไม้ที่แพ้ให้มากที่สุด เพราะเป็นวิธีเดียวที่จะไม่ทำ ให้เกิดอาการแพ้ นอกจากนี้ยังออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันมากขึ้น

 Tip คุณดารารัตน์ บอกเคล็ดลับป้องกันอาการแพ้เกสรดอกไม้ว่า "ถ้าไม่แน่ใจว่าแพ้ดอกไม้ชนิดใดบ้าง ก็ควรเลิกใช้ดอกไม้สด และหันมาใช้ดอกไม้ประดิษฐ์แทน เป็นการป้องกันที่ดีที่สุดค่ะ"


 แพ้ฝุ่น และเชื้อราในอากาศ

 คุณสุนทรีย์ รมณียกุล พนักงานเอกชนวัย 32 ปี ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ฝุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝุ่นจากหนังสือ และเชื้อราจากอากาศในช่วงฤดูฝนมาตั้งแต่จำความได้ เพราะมีร่างกายไม่แข็งแรงมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ป่วยเป็นหวัดเป็นประจำ บางครั้งมีอาการหายใจไม่ออกจนต้องนั่งหลับ และเมื่อโตขึ้นก็มีอาการภูมิแพ้ขึ้นตา

 อาการ คันคอ คันหู และจามก่อนเป็นหวัด แล้วมีอาการคันตา หน้าบวม และตาบวมตามมา ในบริเวณต่อมหัวตา และตาขาวขึ้นเป็นวุ้นมีลักษณะเหมือนหัวปลาทอง 

 การรักษา กินยา และฉีดยารักษาภูมิแพ้ แต่อาการไม่ดีขึ้น

 การดูแลตัวเอง "จริงๆ เป็นคนไม่ชอบทานผัก แต่ก็พยายามทาน และทานผลไม้ให้มากขึ้น ที่มีติดบ้าน ประจำคือฝรั่ง แอบเปิ้ล และส้ม และจะไม่ทานผลไม้ที่มีรสหวานมากเกินไปค่ะ พอปรับเรื่องอาหาร แล้วสิ่งที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นคือเป็นหวัดน้อยลง และอาการแพ้ก็เกิดขึ้นนานๆ ครั้ง"

 Tip คุณสุนทรีย์แนะนำ เคล็ดลับป้องกัน และแก้แพ้ว่า "ทำความสะอาดบ้าน และโต๊ะทำงานอย่างสม่ำเสมอ เมื่อมีอาการแพ้รีบล้างหน้าล้างตาในน้ำสะอาด และล้างมือให้สะอาด แล้วอาการจะดีขึ้น"


 ภูมิแพ้ของผิวหนัง



 หมายถึงการแพ้ที่แสดงอาการทางผิวหนัง มีลักษณะเป็นผื่นแดงนูน คัน หรืออาจปวดแสบปวดร้อน และ

 ขึ้นผื่นแดงเป็นปื้นหรือมีลักษณะเป็นจุดๆ บางครั้งเกิดขึ้นบริเวณบางส่วนของร่างกาย เช่น แขน ขา

 ข้อพับ และใบหน้า และบางครั้งขึ้นทั่วร่างกาย พบได้หลายชนิดค่ะ และประสบการณ์ภูมิแพ้ของผิวหนัง

 ที่จะนำมาบอกเล่าคือ แพ้โดยไม่ทราบสาเหตุ เกิดจากความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิรอบๆ ตัว ที่อาจเย็นจัด หรือร้อนจัด

 หรือเปลี่ยนแปลงอย่างเฉียบพลันค่ะ

 คุณศราวุฒิ หมื่นกันยา บรรณารักษ์วัย 24 ปี ป่วยเป็นภูมิแพ้ผิวหนังโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่ออายุ 20

 ต้นๆ ตอนย้ายเข้าไปอยู่ที่หอพักของมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นห้องที่มีลักษณะทึบ อับชื้น และอากาศไม่ถ่ายเท จึงสังเกตว่าอาจเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน จนเกิดอาการแพ้ทางผิวหนัง

 อาการ ผื่นแดงทั้งตัว ยกเว้นใบหน้ากับลำคอ และมีอาการคันมากจากภายใน แม้เกาก็ไม่หาย เพราะหาต้นตอไม่ได้

 การรักษา กินยาแก้แพ้แต่ไม่ได้ผล จึงเปลี่ยนสถานที่รักษาก็ไม่ได้ผลอีก ต้องหลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่แพ้เท่านั้น

 การดูแลตัวเอง "นอนในห้องนอนที่บ้านไม่ได้เลยครับ ต้องออกมานอนโถงกลางของบ้านที่มีอากาศ

 ถ่ายเท แล้วหันมาออกกำลังกาย ช่วงแรกเล่นวอลเลย์และแบทมินตันรู้สึกอาการดีขึ้น เริ่มมีภูมิคุ้มกัน

 มาหายขาดตอนที่ปรับอาหารเป็นข้าวกล้อง เน้นผักผลไม้ เล่นโยคะ และรำกระบองทุกวัน ที่เห็นชัด

 อีกอย่างคือไม่แพ้อาหารทะเลอีกเลย"

 Tip คุณศราวุฒิบอกเคล็ดลับสำหรับคนแพ้ผิวหนังว่า "ต้องกางร่มเวลาออกแดด เพราะแดดร้อนๆ

 เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการคัน ทาโลชั่นบำรุงผิวเพื่อให้ผิวชุ่มชื้นช่วยลดการคันได้"


 แพ้ผิวหนังชนิดตัวบวม

 หรือทางการแพทย์เรียกว่า Angioedema ลักษณะของภูมิแพ้ชนิดนี้จะมีอาการแพ้ทางผิวหนังก่อน แล้วจึงมีอาการตัวบวมตามมา

 คุณพรรณราย จริยะพิสุทธิ์ ป่วยเป็นภูมิแพ้ทางผิวหนังชนิดตัวบวม เมื่อ 3 ปีก่อน เนื่องจากเป็นคนที่มี

 น้ำหนักตัวมาก จึงลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว คือ 40 กิโลกรัมภายในเวลาเพียง 9 เดือน ทำให้ไม่มี

 ภูมิต้านทาน ประกอบกับความเครียดที่สะสมมาเป็นเวลานาน อาการแพ้จนตัวบวมจึงเกิดขึ้นอย่างไม่

 เลือกเวลา และสถานที่

 อาการ ก่อน ตัวบวมจะมีอาการคันทั่วบริเวณส่วนบนของร่างกาย รวมถึงใบหน้า และศีรษะด้วย จากนั้นเปลือกตาก็จะเริ่มบวม ท้องขยายออกมาประมาณ 5-6 นิ้ว ประมาณ 3-5 วันจึงยุบแล้วก็กลับมาเป็นใหม่อีกครั้ง 

 การรักษา รับประทานยารักษามาเป็นเวลา 1 ปี ไม่ดีขึ้นจึงเลิกใช้ยามาเป็นเวลา 1 ปีแล้ว

 การดูแลตัวเอง "ต้อง ทำใจยอมรับเพื่อไม่ให้เครียดไปมากกว่านี้ เมื่อว่างจากงานจึงเข้าวัดนั่งสมาธิ บ่อยๆ น เป็นการพักผ่อนไปในตัว และเลิกทานเนื้อสัตว์ค่ะ ทำแบบนี้มาปีกว่าแล้วรู้สึกจิตใจสงบขึ้น ตัวบวมน้อยลง และนานครั้งจึงจะมีอาการแพ้"

 Tip เมื่อเกิดอาการแพ้จนท้องบวมคุณพรรณรายจะพยายามไม่ใส่ใจ และเบี่ยงเบนความสนใจโดย  การหากิจกรรมที่ชอบทำ เช่น อ่านหนังสือค่ะ


 แพ้สิ่งแวดล้อม

 เกิดจากการแพ้สภาพแวดล้อมรอบตัวที่อาจมีสารก่อภูมิแพ้แฝงอยู่ เมื่อเกิดการแพ้จะแสดงอาการทาง

 ผิวหนัง คือมีผื่นสีแดง หรือเกิดรอยนูนเป็นเส้นเมื่อโดนของแข็งขูดขีดเรียกว่า Dermatographism

 หรือ ผิวหนังเขียนหนังสือได้ 

 คุณพรพิมล ชูสกุลพัฒนา พนักบริษัทเอกชนวัย 30 ปี ป่วยเป็นภูมิแพ้สิ่งแวดล้อมตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นโดยไม่

 ทราบสาเหตุ โดยเกิดจากการมองเห็น และการสัมผัส แม้ขณะเดินอยู่เฉยๆ ก็สามารถเกิดอาการแพ้

 ได้ แพทย์วินิจฉัยว่าแพ้สิ่งแวดล้อม 

 อาการ ผื่น สีแดงขึ้นตามตัวบ่อยๆ เมื่อโดนของแข็ง เช่น ปากกาขีดข่วนก็จะเป็นเส้นสีแดงบวมนูนขึ้น ตามรอยอยู่นาน ถ้ามองเห็นจุดสีดำเล็กๆ คล้ายเมล็ดงาอยู่ตามเสื้อผ้า หรือกระเป๋าลายหนังจระเข้ ก็จะเกิดอาการแพ้ทันที แม้ขณะปรบมือก็เกิดอาการคันและแดงตามมาด้วย

 การรักษา รับประทานยาแก้แพ้เมื่อมีอาการ

 การดูแลตัวเอง "ลอง เปลี่ยนมาทานข้าวกล้อง กับเมล็ดถั่ว เช่น ถั่วเขียว และเล่นกีฬาอย่างแบทมินตัน กับแอโรบิกสลับกันไป แล้วรู้สึกว่าความถี่ในการแพ้ลดลงค่ะ"

 แพ้ถั่ว


 คุณฐานิดา สมุลไพร โปรดิวเซอร์รายการโทรทัศน์ วัย 33 ปี แพ้ถั่วตระกูลพีนัททุกชนิด ก่อนหน้าที่จะ

 มีอาการแพ้ถั่ว เริ่มป่วยเป็นไซนัสมาตั้งแต่อายุ 10 ขวบ รักษาเรื่อยมากระทั่งหาย พออายุประมาณ

 19 ปีก็มีอาการแพ้ถั่วอย่างรุนแรง

 อาการ เมื่อ กินถั่วเข้าไปจะมีอาการหายใจไม่ออก ปากพอง ตาบวม รู้สึกถูกบีบที่หัวใจ และคันที่ตา ทำให้ขยี้ตาจนแสบที่เปลือกตา และเมื่อได้กลิ่นถั่ว เช่น ถั่วต้ม ก็จะมีอาการหายใจไม่ออกเช่นกัน แม้จะไม่ร้ายแรงเท่ากับการกิน

 การรักษา ฉีดยาตามแพทย์นัด สัปดาห์ละ 1 เข็มเป็นเวลา 3 ปี แต่ไม่หาย

 การดูแลตัวเอง "พอ หันมาออกกำลังกายอย่างจริงจังด้วยการเล่นบาสเก็ตบอล ตอนนั้นเป็นนักกีฬาด้วยก็ทำให้แข็งแรงขึ้น และไม่แตะต้องอาหารที่ทำจากถั่วทุกชนิด"

 Tip คุณฐานิดาบอกเคล็ดลับเมื่อมีอาการแพ้ถั่วว่า "เมื่อเกิดอาการแพ้ พยายามดื่มน้ำมากๆ"


 แพ้สารเคมี อาหารบางชนิด และยา

 คุณกัญญา คำแสน พนักงานประกันชีวิตวัน 40 ปี ป่วยเป็นภูมิแพ้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว เนื่องจากโดนตัวต่อ

 ต่อยเกือบทั้งรัง (นับได้ 32 ตัว) ต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลนาน 1 เดือนเต็ม หลังจากรักษา

 ตัวหาย ก็มีเริ่มป่วยเป็นภูมิแพ้สารเคมีในเสื้อผ้าใหม่ๆ และแพ้อาหารที่มีปูกับปลาร้าเป็นส่วนผสม

 อาการ แพ้ สารเคมี ผื่นขึ้นตามตัว โดยเฉพาะเนื้อเยื่ออ่อนๆ เช่น รูหู และมีอาการภูมิแพ้ขึ้นตา ลักษณะเป็นวุ้นสีขาว และน้ำตาไหลไม่หยุด แพ้อาหาร ปากบวม แตก และยื่นออกมามากกว่าปกตินานหลายวัน แพ้ยา หายใจไม่ออก ผิวเนื้อมีลักษณะสุกไหม้ ตาบวม และผื่นขึ้น 

 การรักษา กินยารักษาภูมิแพ้ หายเป็นพักๆ และกลับเป็นใหม่จนเรื้อรัง ทั้งมีอาการเบลอๆ งงๆ จากการรับยามากเป็นเวลานาน

 การดูแลตัวเอง "เปลี่ยน มากินข้าวกล้องและขนมปังโฮลวีต ดื่มน้ำแครอท สลับกับน้ำเซอลารี่ ออกกำลังกายด้วยการเดินวันละครึ่งชั่วโมง และทำดีท็อกซ์อาทิตย์ละครั้ง หรือเมื่อเริ่มรู้สึกไม่สบาย เช่น เจ็บคอก็จะทำดีท็อกซ์แล้วก็ดีขึ้นค่ะ ปฏิบัติตัวแบบนี้มาปีหนึ่ง เห็นผลเลยว่าร่างกายมีภูมิต้านทานขึ้น ไม่แพ้อะไรง่ายๆ เรียกว่าหายเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว"

 Tip คุณ กัญญาบอกเคล็ดลับป้องกันการสารเคมี อาหาร และยาว่า "หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้คือเสื้อผ้าใหม่ ไม่กินอาหารที่มีส่วนผสมของปูและปลาร้า ทดลองกินยา 1 ชั่วโมงก่อนรับยากลับบ้านทุกครั้ง เมื่อจำเป็นต้องรักษาด้วยการกินยา"


 โรคภูมิแพ้ตา
 เป็น คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ แพ้อยู่หลายอย่าง รวมทั้งเป็นภูมิแพ้ตาด้วย เลยเป็นหมูอ๋าหน้าลิงตาแพนด้าทั้งปีทั้งชาติ  หาอ่านข้อมูลของโรคนี้ และเห็นว่าเป็นความรู้จึงเอามาลงให้ได้อ่านกัน

 โรคภูมิแพ้ของ ตานั้น เป็นอาการของภูมิแพ้อย่างหนึ่ง สามารถเกิดได้แทบทุกส่วนของดวงตา ตั้งแต่ เปลือกตา หนังตา ไปจนถึงเยื่อบุตาขาว และกระจกตาครับ ท่อน้ำตาและต่อมน้ำตาก็สามารถมี อาการแพ้เกิดขึ้นได้เช่นกัน แต่โดยมากแล้ว อาการที่เป็นกันมาก มักจะเกิดกับเยื่อบุตาขาวเป็นส่วน ใหญ่โดยมากแล้ว ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ตา มักจะเป็นผู้ที่มีอาการของโรคภูมิแพ้อื่นๆ อยู่แล้ว เช่น แพ้อากาศ แพ้อาหาร เป็นต้น โดยอาการมักจะแสดงออกในระบบอื่นด้วย เช่น มีอาการของลมพิษ หรือผื่นคันตามผิวหนัง คัดจมูก มีน้ำมูกใส แต่ก็มีไม่น้อย ที่ผู้ป่วยมีอาการปรากฏที่ตาเพียงอย่างเดียว ส่วนมากแล้วภูมิแพ้ที่เกิดกับดวงตา มักมองกันหลายอย่างรวมกัน ดังต่อไปนี้ครับ

            -คันตามาก อาจมีอาการหนังตา หรือเปลือกตาบวมร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ (โดยมากแล้ว อาการเปลือกตาบวม มักเป็นจากการแพ้ในระบบอื่นที่ส่งผลถึงดวงตามากกว่าเป็น อาการแพ้ของตาเอง เช่น แพ้ยา)

            -มักมีขี้ตาเยอะมาก โดยเฉพาะในเวลาตื่นนอนตอนเช้า ผู้ป่วยหลายรายจะบอกว่า มีขี้ตาเยอะมาก ขนาดลืมตาไม่ขึ้นทีเดียว ขี้ตาจากภูมิแพ้ตานั้น จะมีลักษณะเป็นสีขาวขุ่น หรือเหลืองอ่อนๆ หากมีอาการติดเชื้อของดวงตาร่วมด้วย ขี้ตาจะเป็นสีเขียว

            -เยื่อบุตาขาวอาจมีสีแดงเรื่อๆ ได้ จนถึงแดงก่ำ บางรายที่เป็นมาก อาจมีอาการปวดตาร่วมด้วยได้ครับ

            -ในรายที่อาการแพ้เป็นอย่างรุนแรง อาจทำให้การมองเห็นของคนไข้แย่งลง มีตามัวกระจกตาเกิดเป็นแผล และอาจถึงตาบอดได้ หากปล่อยทิ้งเอาไว้ไม่ได้รับการรักษา           

ดัง นั้น จะเห็นได้ว่า อาการของภูมิแพ้ตา มีได้ตั้งแต่เล็กน้อย ไปจนถึงขั้นรุนแรงครับ ส่วนสาเหตุของภูมิแพ้ตานั้น เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุเหมือนกับโรคภูมิแพ้อื่นๆ เช่น เกิด จากการแพ้ยาปฏิชีวนะ แพ้ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ เป็นต้น

             สำหรับคำถามของคุณผู้อ่านนั้น ผมขอตอบดังนี้

            1. ภูมิแพ้ตา สามารถรักษาให้หายได้ครับ โดยเฉพาะหากทราบว่าแพ้อะไร เราก็

 หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารนั้น ก็จะทำให้อาการแพ้หายไป การกินยา หรือหยอดยาแก้แพ้จะช่วยบรรเทา

 อาการขณะที่แพ้เท่านั้น แต่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ครับ และโรงพยาบาลขนาดใหญ่ โดย

 เฉพาะโรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์นั้น จะมีแพทย์เฉพาะทางเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ ที่สามารถให้คำ

 แนะนำและรักษาได้เป็นอย่างดี

            2. การรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง โดยเฉพาะการออกกำลังกายและเลือกกิน

 อาหารที่มีประโยชน์ มีวิตามินสูง จะทำให้ร่างกายของเราแข็งแรงขึ้น และหลายรายสามารถทำให้

 อาการภูมิแพ้หายไปได้ครับ แต่อย่างไรก็ตามผลที่เกิดขึ้น จะไม่เห็นอย่างรวดเร็วนักนะครับเราต้อง

 ให้เวลา และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จึงจะเห็นผลในระยะยาว

           3. การทำเลซิค (LASIK) คือการผ่าตัดแก้ไขสายตาผิดปกติ โดยมีการผ่าตัดแก้ไข

 ท่กระจกตา ผู้ป่วยที่สามารถทำ LASIK ได้นั้น จะต้องมีอายุตั้งแต่ 18 ปี ขึ้นไป สายตาสั้นหรือยาวมี

 การคงที่มาไม่ต่ำกว่าหนึ่งปี ไม่มีโรคติดเชื้อของตาหรือกระจกตา ไม่เป็นต้อหิน หรือต้อกระจก ไม่มี

 อาการตาแห้ง สำหรับโรคภูมิแพ้ตานั้น ไม่มีข้อห้ามที่ชัดเจน แต่หากมีอาการแพ้มากและกระจกตามี

 ปัญหา ก็ไม่ควรทำครับ อย่างไรก็ตาม หากไม่แน่ใจ คุณผู้อ่านควรจะไปตรวจโดยละเอียดก่อนจะทำ

 LASIK ครับ

            4. การตรวจภูมิแพ้ตานั้น นอกจากตรวจร่างกายและตรวจตาอย่างละเอียดแล้ว การ

 ตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ ส่วนมากจะตรวจเหมือนกับผู้ป่วยภูมิแพ้ทั่วไป ได้แก่ ตรวจเลือด ตรวจ

 ปัสสาวะ อาจมีการตรวจพิเศษเรื่องของภูมิแพ้ แล้วแต่ผู้ป่วยแต่ละรายไป

            สุขภาพของเราเป็นสิ่งสำคัญ การออกกำลังกายเป็นประจำ รับประทานอาหารครบ

 ถ้วนทุกหมู่ ดื่มน้ำสะอาด ดื่มนม กับนอนหลับพักผ่อน และทำจิตใจให้สดชื่นแจ่มใสอยู่เสมอ เป็นเคล็ด

 ลับที่ทำให้ท่านมีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ครับ

 ที่มา: http://www.sapaan.net/forum/health-community/aaauaoae-coooaein1aadaneo/

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS